บทความการใช้ Excel หัวข้อนี้มิได้ต้องการส่งเสริมให้
นักเรียนนักศึกษาละเลยพื้นฐานและวิธีการดำเนินการของเมตริกซ์
เพียงแต่ต้องการนำเสนอวิธีการใช้ Excel ช่วยคำนวณผลการดำเนินการกับเมตริกซ์
อย่างน้อยก็ช่วยให้ นักเรียน นักศึกษาที่กำลังเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่อง เมตริกซ์
ได้ใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบผลลัพธ์ที่ทำด้วยลายมือ
ซึ่งมีวิธีการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยผู้เขียนจะค่อยๆทยอยนำวิธีการใช้ Excel
มาดำเนินการกับเมตริกซ์ในแต่ละหัวข้อครับ
บทความนี้จะนำเสนอการคำนวณหาเมตริกซ์ผกผัน (Inverse matrix)
มาดูนิยามกันก่อนครับ
หากเมตริกซ์ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัสและเป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน
(Nonsingular
matrix) แล้ว
I คือ เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity Matix)
การคำนวณหาค่าเมตริกซ์ผกผัน โดยใช้ Excel จะใช้สูตร MINVERSE
โดยมีรูปแบบการใช้สูตร
Excel ดังนี้
MINVERSE (array)
โดย Excel จะคืนค่า #VALUE!
เมื่อมีข้อผิดพลาด
2 รูปแบบดังนี้
1. สมาชิกใน array อย่างน้อยเป็นค่าว่าง
หรือเป็นข้อความ
2. จำนวนหลักและจำนวนแถวของ array ไม่เท่ากัน (ไม่เป็น เมตริกซ์จัตุรัส)
Excel จะคืนค่า #NUM!
สำหรับเมตริกซ์ที่หาค่าเมตริกซ์ผกผันไม่ได้
(ค่า Determinant = 0) หรือที่เรียกว่าเมตริกซ์เอกฐาน (Singular matrix)
การใช้สูตร Excel ขอยกตัวอย่างเมตริกซ์
A ในหัวข้อการ
การใช้สูตร Excel หา Determinant ของเมตริกซ์ ดังรูปที่ 1 ซึ่งมีค่า Determinant
= 32 จะสามารถดำเนินการหาเมตริกซ์ผกผันได้ดังนี้
1. เลือกช่วงข้อมูล D7:F9 (เท่ากับจำนวนสมาชิก 3x3)
2. พิมพ์สูตร excel ดังนี้ =
MINVERSE (D2:F4)
3. กดปุ่ม Ctrl + Shift + Enter เพื่อเป็นการคำนวณแบบ
Array
4. จะได้ เมตริกซ์ผกผัน ดังแสดงในภาพที่ 1
ภาพที่ 1 ผลการใช้สูตร Excel หาเมตริกซ์ผกผัน
การตรวจสอบค่าทำได้โดยใช้สูตร Excel : MMULT
หาผลคูณระหว่าง
A-1*A จะได้ผลลัพธ์เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์
ดังแสดงในภาพที่ 1
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น