วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

มาใช้ Excel ช่วยดำเนินการกับเมตริกซ์กัน ตอน 3 (How to use MS Excel to operate with matrix-3)

บทความการใช้ Excel หัวข้อนี้มิได้ต้องการส่งเสริมให้ นักเรียนนักศึกษาละเลยพื้นฐานและวิธีการดำเนินการของเมตริกซ์ เพียงแต่ต้องการนำเสนอวิธีการใช้ Excel ช่วยคำนวณผลการดำเนินการกับเมตริกซ์ อย่างน้อยก็ช่วยให้ นักเรียน นักศึกษาที่กำลังเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่อง เมตริกซ์ ได้ใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบผลลัพธ์ที่ทำด้วยลายมือ ซึ่งมีวิธีการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยผู้เขียนจะค่อยๆทยอยนำวิธีการใช้ Excel มาดำเนินการกับเมตริกซ์ในแต่ละหัวข้อครับ บทความนี้จะนำเสนอการคำนวณหาเมตริกซ์ผกผัน (Inverse matrix)
มาดูนิยามกันก่อนครับ 
           หากเมตริกซ์ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัสและเป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Nonsingular matrix) แล้ว 
I คือ เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity Matix)
การคำนวณหาค่าเมตริกซ์ผกผัน โดยใช้ Excel จะใช้สูตร MINVERSE โดยมีรูปแบบการใช้สูตร Excel ดังนี้

MINVERSE (array)

โดย Excel จะคืนค่า #VALUE! เมื่อมีข้อผิดพลาด 2 รูปแบบดังนี้
1. สมาชิกใน array อย่างน้อยเป็นค่าว่าง หรือเป็นข้อความ
2. จำนวนหลักและจำนวนแถวของ array ไม่เท่ากัน  (ไม่เป็น เมตริกซ์จัตุรัส)

Excel จะคืนค่า #NUM! สำหรับเมตริกซ์ที่หาค่าเมตริกซ์ผกผันไม่ได้ (ค่า Determinant = 0) หรือที่เรียกว่าเมตริกซ์เอกฐาน (Singular matrix)

การใช้สูตร Excel ขอยกตัวอย่างเมตริกซ์ A ในหัวข้อการ การใช้สูตร Excel หา Determinant ของเมตริกซ์ ดังรูปที่ 1 ซึ่งมีค่า Determinant  = 32 จะสามารถดำเนินการหาเมตริกซ์ผกผันได้ดังนี้
1. เลือกช่วงข้อมูล D7:F9  (เท่ากับจำนวนสมาชิก  3x3)
2. พิมพ์สูตร excel ดังนี้ = MINVERSE (D2:F4)
3. กดปุ่ม Ctrl + Shift + Enter เพื่อเป็นการคำนวณแบบ Array
4. จะได้ เมตริกซ์ผกผัน ดังแสดงในภาพที่ 1


ภาพที่ 1 ผลการใช้สูตร Excel หาเมตริกซ์ผกผัน


การตรวจสอบค่าทำได้โดยใช้สูตร Excel : MMULT หาผลคูณระหว่าง A-1*A จะได้ผลลัพธ์เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ ดังแสดงในภาพที่ 1

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Yahoo bot last visit powered by  Ybotvisit.com